ภาษาไทย


คำอวยพรผู้อาวุโส 

                 ศุภฤกษ์มงคลกาลสมัย         ขอพระตรัยรัตนาช่วยรักษา
  
 พระเสื้อเมืองพระทรงเมืองปวงเทวา        จงรักษาให้อยู่สุขทุกวันคืน

                             นาย สุรเกียรติ นวลยานัส ม.3/8 เลขที่ 30
                             

                             MV เพลงไทย
                       
                                         เพลง    สัญญาเมื่อสายันห์

นักร้อง  ไท ธนาวุฒิ
       
     นาย สุรเกียรติ นวลยานัส เลขที่ 30   3/8
นาย นำโชค สาโดด   เลขที่ 44   3/8

คำสนธิ
สนธิ เป็นการเปลี่ยนแปลงเสียงตามหลักภาษาบาลีสันสกฤต เมื่อเสียงสองเสียงอยู่ใกล้กัน จะมีการกลมกลืนเป็นเสียงเดียวกันโดยมีการเปลี่ยนแปลงพยัญชนะสระและนิคหิตที่มาเชื่อมเพื่อการกลมกลืนเสียงให้เป็นธรรมชาติของการออกเสียง และทำให้คำเหล่านั้นมีเสียงสั้นเข้า เช่น
                              สุข + อภิบาล  เป็น  สุขาภิบาล
                              ภูมิ + อินทร์   เป็น  ภูมินทร์
                     สนธิ มี 3 ลักษณะ คือ
                            1. สระสนธิ
                            2. พยัญชนะสนธิ
                            3. สระสนธิ
             1. สระสนธิ เป็นการนำคำที่ลงท้ายสระไปสนธิกับคำที่ขึ้นต้นด้วยสระ ซึ่งเมื่อสนธิแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปสระ เพื่อให้เสียงสระ 2 เสียงได้กลมกลืนเป็นเสียงสระเดียวกัน สระที่เป็นคำท้ายของคำหน้าจะได้แก่ สระอะ อา อิ อี อุ อู เป็นส่วนใหญ่ เช่น
                1. สระอะ อา ถ้าสนธิกับสระอะ อา ด้วยกัน จะรวมเป็นสระอะ อา เช่น
                        เทศ + อภิบาล        เป็น         เทศาภิบาล
                        กาญจน + อาภรณ์   เป็น         กาญจนาภรณ์
                    ถ้าสระอะ อา สนธิกับสระอะ อาของพยางค์ที่มีตัวสะกด จะรวมเป็นสระอะที่มีตัวสะกด เช่น
                        มหา + อรรณพ        เป็น         มหรรณพ
                        มหา + อัศจรรย์        เป็น         มหัศจรรย์
                   ถ้าสระอะ อา สนธิกับสระอิ อี จะรวมเป็นสระอิ อี หรือเอ เช่น
                        นร + อินทร์           เป็น         นรินทร์ หรือ นเรนทร์
                        มหา + อิสิ             เป็น         มหิสิ หรือ มเหสี
                        มหา + อิทธิ           เป็น         มหิทธิ
                   ถ้าสระอะ อา สนธิกับสระอุ อู จะรวมเป็นสระอุ อู หรือโอ เช่น
                        มัคค + อุเทศก์        เป็น         มัคคุเทศก์
                        ราช + อุปถัมภ์         เป็น         ราชูปถัมภ์
                        นย + อุบาย              เป็น         นโยบาย
                   ถ้าสระอะ อา สนธิกับสระเอ ไอ โอ เอา จะรวมเป็นเอ ไอ โอ เอา เช่น
                        ชน + เอก                เป็น         ชเนก
                        มหา + โอฬาร          เป็น         มโหฬาร
                        โภค + ไอศวรรย์       เป็น         โภไคศวรรย์
                 2. สระอิ อี สนธิกับสระอิ จะรวมเป็นสระอิ เช่น
                         ภูมิ + อินทร์         เป็น         ภูมินทร์
                         มุนิ + อินทร์         เป็น         มุนินทร์
                         โกสี + อินทร์        เป็น         โกสินทร์
                      แต่ถ้าสระอิ อี สนธิกับสระอื่น เช่น อะ อา อุ โอ มีวิธีการ 2 อย่าง คือ
                      ก. แปลงรูปอิ อี เป็น ย ก่อน แล้วจึงนำไปสนธิตามแบบ อะ อา แต่ถ้าคำนั้นมีตัวสะกด ตัวตาม ต้องตัดตัวตามออกเสียก่อน เช่น
                            รัตติ             เป็น         รัตย  ไม่ใช่   รัตติย
                            อัคคี             เป็น         อัคย  ไม่ใช่   อัคคย
                            แล้วจึงนำมาสนธิ ดังนี้
                            มติ + อธิบาย        เป็น     มัตย + อธิบาย         เป็น  มัตยาธิบาย
                            อัคคี + โอภาส       เป็น     อัคย+ โอภาส           เป็น อัคโยภาส
                      ข. ตัดอิ อี ออก แล้วสนธิแบบ อะ อา เช่น
                            หัตถี +อาจารย์      เป็น         หัตถาจารย์
                            ศักดิ + อานุภาพ    เป็น         ศักดานุภาพ
                  3. สระอุ อู ถ้าสระอุ อูสนธิกัน รวมกันเป็นรูปสระอุ อู เช่น
                            ครุ, คุรุ + อุปถัมภ์         เป็น         คุรุปกรณ์, คุรูปกรณ์
                            ครุ, คุรุ + อุปถัมภ์         เป็น         คุรุปถัมภ์, คุรูปถัมภ์
             แต่ถ้าสระอุ อู นี้สนธิกับสระอื่น จะต้องเปลี่ยนรูป อุ อู เป็น ว แล้วสนธิตามแบบ อะ อา เช่น
                   จักขุ + อาพาธ         เป็น     จักขว + อาพาธ    เป็น     จักขวาพาธ
                    เหตุ + อเนกรรถ     เป็น     เหตว + อเนกรรถ  เป็น     เหตวาเนกรรถ
                    ธนู + อาคม            เป็น     ธนว + อาคม      เป็น       ธันวาคม
             2. พยัญชนะสนธิ ในภาษาบาลี คือ การนำคำที่ลงท้ายด้วย สระไปสนธิกับคำที่ขึ้นต้น ด้วยสระหรือพยัญชนะ ส่วนในภาษาสันสกฤต คือ การนำคำที่ลงท้ายด้วย พยัญชนะไปสนธิกับคำที่ขึ้นต้นด้วย สระหรือพยัญชนะ ซึ่งมีหลักเกณฑ์ยุ่งยาก จะไม่นำมากล่าวในที่นี้ เรารับคำสมาส ที่มีสนธิของภาษาบาลีสันสกฤต มาใช้  เช่น
                    มน+ ภาว ( บ. ) มนสฺ + ภาว ( ส )    =     มโนภาว ไทยใช้ มโนภาพ
                    เตช + ชย ( บ. ) เตชสิ + ชย ( ส )    =      เตโชชย ไทยใช้ เตโชชัย
             3. นิคหิตสนธิ ( หรือนิคหิตสนธิ ) เป็นการนำคำที่ลงท้าย นิคหิตไปสนธิกับคำที่ขึ้นต้นด้วย พยัญขนะหรือสระก็ได้ มีหลักดังนี้
              1. ถ้าคำที่ลงท้ายด้วยนิคหิตไปสนธิกับคำที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะวรรค ให้แปลงรูปนิคหิตเป็นพยัญชนะท้ายวรรคก่อนแล้วจึงนำไปสนธิกัน
                  พยัญชนะท้ายวรรคของพยัญชนะวรรคทั้ง 5 วรรค ได้แก่ ง ญ ณ น ม
                  ถ้านิคหิตสนธิกับพยัญขนะวรรค ก ได้แก่ ก ข ค ฆ ให้เปลี่ยน ํ เป็น ง ดังนี้
                              สํ + กร             เป็น         สังกร         สํ + ขาร     เป็น    สังขาร
                              สํ + คม            เป็น         สังคม        สํ + คีต      เป็น    สังคีต
                  ถ้านิคหิตสนธิกับพยัญชนะวรรค จ ได้แก่ จ ฉ ช ฌ ให้เปลี่ยน ํ เป็น ญ
                               สํ + จร           เป็น         สัญจร         สํ + ชาติ     เป็น สัญชาติ
                               สํ + ญา          เป็น         สัญญา         สํ + ชย      เป็น สัญชัย
                   ถ้านิคหิตสนธิกับพยัญชนะวรรค ฏ ได้แก่ ฏ ฐ ฑ ม ให้เปลี่ยน ํ เป็น ณ
                               สํ + ฐาน         เป็น         สัณฐาน         สํ + ฐิติ      เป็น     สัณฐิติ
                    ถ้านิคหิตสนธิกับพยัญชนะวรรค ตได้แก่ ต ถ ท ธ ให้เปลี่ยน ํ เป็น น ดังนี้
                               สํ + ธาน         เป็น         สันธาน    สํ + นิบาต   เป็น    สันนิบาต
                  ถ้านิคหิตสนธิกับพยัยชนะวรรค ป ได้แก่ ป ผ พ ภ ให้เปลี่ยน ํ เป็น ม ดังนี้
                               สํ + ผสฺส          เป็น         สัมผัสส    ( ไทยใช้ สัมผัส )
                               สํ + ภาษณ       เป็น         สัมภาษณ์     สํ + ภว    เป็น     สมภพ
              2. ถ้าคำที่ลงท้ายด้วยนิคหิตไปสนธิกับพยัญชนะเศษวรรค (พยัญชนะอวรรค) ให้เปลี่ยนเป็นดัง ก่อนแล้วจึงสนธิกัน
                       พยัญชนะเศษวรรค ได้แก่ ย ร ล ว ศ ษ ส ห ฬ สนธิดังนี้
                                สํ + โยค          เป็น         สังโยค    สํ+ วร    เป็น    สังวร
                                สํ + วาส          เป็น         สังวาส    สํ+ หร    เป็น    สังหร
              3. ถ้าคำที่ลงท้ายด้วยนิคหิตไปสนธิกับคำที่ขึ้นต้นด้วยสระ จะต้องเปลี่ยน ํ เป็น ม ก่อนแล้วจึงสนธิกัน เพื่อให้เสียงของคำเชื่อมกันสนิท
                                สํ + อาทาน       เป็น         สมาทาน
                                สํ + อิทธิ           เป็น         สมาธิ
                       การสนธิเป็นการเปลี่ยนแปลงเสียงเมื่อเสียง   2 เสียงใกล้กัน และการเปลี่ยนแปลงเสียงนี้ จะปรากกในคำสมาสและคำที่ลงอุปสรรค ดังกล่าว เช่น
                                หัตถี + อาจารย์   เป็น         หัตถาจารย์
                       เป็นคำสนธิที่ปรากฏในคำสมาส
                                สํ+ ตาน          เป็น         สันตาน ( ไทยใช้ สันดาน )
                       เป็นคำสนธิที่ปรากฏในคำลงอุปสรรค  
             ดังนั้น การสนธิจึงเป็นการเปลี่ยนแปลงเสียงเท่านั้น มีอยู่ในการสมาสและการลงอุปสรรค ไม่ใช่การสร้างคำใหม่